คลังเก็บ
All posts by dskittikorn
ยุทธภพครบสลึง (Yulgang) เป็นเกมออนไลน์ประเภท MMORPG จากประเทศเกาหลีใต้ พัฒนาโดยบริษัท KRG Soft เผยแพร่โดย Mgame เกมนี้มีพื้นฐานอยู่บนหนังสือการ์ตูนในชื่อเดียวกันนี้ของเกาหลีที่เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้[1] คำว่า Yulgang[2] มาจากคำย่อของ Yul-Hyul-Gang-Ho (热血江湖/열혈강호 ยอลฮยอลกังโฮ) แปลว่า “เจียงหูเลือดเดือด” ในประเทศไทย เกมดังกล่าวได้ซื้อลิขสิทธิ์และนำเข้าโดย เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น เกมออนไลน์เกมนี้เป็นเกมที่เล่นได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่สร้างรายได้จากการขายสินค้าใน Yulgang Shop ด้วยเงินจริง ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 เกมนี้ได้รับความนิยมคือมีผู้ลงทะเบียนเล่นเกมกว่า 60 ล้านคนในจีนและเกาหลี[3] และเกมนี้มีเซิร์ฟเวอร์ให้บริการในประเทศญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน ไทย อินโดนีเซีย และสหรัฐอเมริกา เกมนี้ยังมีชื่อภาษาอังกฤษอีกว่า Scions of fate
อาชีพ
- นักดาบ = โจมตีระยะใกล้ ความสามารถที่โดดเด่น : เป็นอาชีพที่มีพลังป้องกันสูงสุด และมีความพิเศษตรงที่สามารถใช้สกิลหมู่ในการเก็บเลเวลได้ ดังนั้นหากจะ ปาร์ตี้ทำภารกิจหรือจะออกล่าบอส อาชีพดาบจะเป็นอาชีพสำคัญที่ จะช่วยเป็นตัวแทงค์ ได้เป็นอย่างดีและที่สำคัญอาชีพดาบยังเป็นอาชีพเดียวกับพระเอกของเรื่องอย่าง ฮันกวางอีกด้วย
- มือกระบี่ = โจมตีระยะใกล้ ความสามารถที่โดดเด่น : เป็นอาชีพที่มีพลังปราณที่ผสานกับพลังโจมตีได้อย่างลงตัว ทำให้อาชีพกระบี่เป็นอาชีพสายนักล่าที่มีพลัง การโจมตีที่น่ากลัว ดังนั้นหากใครที่ต้องการเล่นสายพีเคหรือสายต่อสู้แนวตัวทำดาเมจต้องไม่พลาดอาชีพ กระบี่ ที่สำคัญเป็นอาชีพเดียวกับนางเอกของเรื่องอย่าง ฮาริน ด้วยนะ
- หมอ = โจมตีระยะไกล ความสามารถที่โดดเด่น : อาชีพหมอเป็นอาชีพที่ใจดีที่สุดในบรรดาอาชีพทั้งหมด เพราะนอกจากจะฮีลเก่งแล้วยังมีบัฟต่าง ๆ มากมาย ไว้สำหรับเพิ่มค่าแสตทให้กับตัวละคร ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นปาร์ตี้ไหน ๆ ก็จะขาดหมอไม่ได้เด็ดขาดโดยเฉพาะ อย่างยิ่งอาชีพหมอเป็นอาชีพที่มี เครื่องแต่งกายหรืออาวุธสวยงามโดดเด่นที่สุดในเกมอีกต่างหาก
- มือทวน = โจมตีระยะไกล้ ความสามารถที่โดดเด่น : อาชีพทวนเป็นอาชีพที่มีพลังโจมตีสูงสุด แต่เป็นตัวละครที่ไม่ค่อยมีลูกเล่นพิเศษอะไรเท่าไหร่แต่หากใคร ที่ชอบการโจมตีแรง ๆ ไปล่าบอสหรือเก็บเลเวล อาชีพทวนก็เป็นอาชีพที่คนส่วนใหญ่ต้องการ แต่สำหรับ คนที่เล่นอาชีพทวนแล้วอาจจะต้องเปลืองงบประมาณกับค่ายาสักหน่อย เนื่องจากทวนจะหลบไม่ค่อยเก่งสักเท่าไหร่
- นักธนู(เข้ามาใน v.5.0) = โจมตีระยะไกล-ไกลมาก ความสามารถที่โดดเด่น : อาชีพนักธนูเป็นอาชีพที่โดดเด่นในด้านการยิงไกลและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นอาชีพที่โจมตีแบบคริติคอลได้ดีอีกอาชีพหนึ่ง สำหรับผู้เลือกเล่นธนูสามารถเลือกสายการเล่นได้ทั้งแบบการโจมตีด้วยวิชา หรือเลือกสายการเล่นด้วยการโจมตีแบบปกติ เน้นการโจมตีคริติคอลก็ได้ อาชีพนักธนูเป็นอาชีพที่มีเครื่องแต่งกายโดดเด่นอีกอาชีพหนึ่ง
- นินจา(เข้ามาใน v.6.0) = โจมตีระยะใกล้ ความสามารถที่โดดเด่น : อาชีพนินจาเป็นอาชีพเกือบใหม่ล่าสุดที่อัพเดทเข้ามา โดยอาชีพนี้เป็นอาชีพที่มีลูกเล่นเยอะที่สุด ไม่ว่าจะเป็นบัฟต่าง ๆ มากมายที่เสริมเข้ามาหรือจะเป็นสกิลเฉพาะตัวอย่างล่องหนเป็นต้น และสำหรับอาชีพนินจานั้นเป็นอาชีพที่ผู้เล่นสามารถเลือกเล่นได้ทั้ง 2 สายเช่นเดียวกับนินจาคือทั้งโจมตีธรรมดาและโจมตีด้วยวิชา
- นักพิณ(เข้ามาใน v.8.0) = โจมตีระยะกลางและไกล ความสามารถที่โดดเด่น : อาชีพนักพิณเป็นอาชีพใหม่ล่าสุดที่อัพเดทเข้ามา Continue Reading
สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา (คาตาลัน: Futbol Club Barcelona) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า บาร์เซโลนา หรือคุ้นเคยในอีกชื่อว่า บาร์ซา (คาตาลัน:Barça) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพสเปน ตั้งอยู่ที่เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน เล่นอยู่ในลาลีกา
สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาเป็นผู้ชนะเลิศในถ้วยยุโรปและสเปนปัจจุบัน เป็นสโมสรสเปนที่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลสเปน ในแง่ของจำนวนถ้วยรางวัลภายในประเทศและทุกถ้วย โดยชนะในการแข่งลาลีกา 21 ครั้ง ชนะในโกปาเดลเรย์ 25 ครั้ง ชนะในซูเปร์โกปาเดเอสปาญา 10 ครั้ง ชนะในโกปาเอบาดัวร์เต 3 ครั้ง และได้รางวัล โกปาเดลาลีกา 2 ถ้วย นอกจากนี้ยังเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จที่สุดในยุโรป โดยได้ชนะเลิศในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 4 ครั้ง, ชนะในยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 4 ครั้ง ชนะในยูฟ่าซูเปอร์คัพ 4 ครั้ง และชนะฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ 1 ครั้ง พวกเขายังถือสถิติชนะในอินเตอร์-ซิตีส์แฟร์สคัป 3 ครั้ง ถ้วยต้นแบบของยูฟ่าคัพ
นอกจากนั้นยังเป็นสโมสรยุโรปสโมสรเดียวที่แข่งในฟุตบอลระหว่างทวีปในทุกฤดูกาลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955 และเป็น 1 ใน 3 สโมสรที่ไม่เคยตกชั้นในลาลีกา ร่วมกับทีมแอทเลติกบิลบาโอและเรอัลมาดริด ในปี ค.ศ. 2009 เป็นสโมสรสเปนสโมสรแรกที่ได้ถือครองแชมป์ 3 รางวัล คือ ลาลีกา, โกปาเดลเรย์ และแชมเปียนส์ลีก และในปีเดียวกันนี้ยังเป็นสโมสรฟุตบอลสโมสรแรกที่ชนะในการแข่งขัน 6 รางวัลในปีเดียวกัน เพิ่มอีก 3 ถ้วยคือ ซูเปร์โกปาเดเอสปาญา, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ
ก่อตั้งในชื่อ ฟุตบอลคลับบาร์เซโลนา ใน ค.ศ. 1899 โดยกลุ่มของนักฟุตบอลสวิส อังกฤษ และ สเปน นำโดย ชูอัง กัมเปร์ สโมสรถือเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมคาตาลันและนิยมคาตาลัน โดยมีคำขวัญทางการว่า “Més que un club” (แปลว่า มากกว่าสโมสร) ส่วนเพลงประจำสโมสรคือเพลง “กันเดลบาร์ซา” เขียนโดย เคาเม ปีกัส และ ชูเซบ มารีอา เอสปีนัส และที่แตกต่างจากสโมสรอื่นคือ ผู้สนับสนุนทีมเป็นเจ้าของและบริหารทีมบาร์เซโลนา ถือเป็นสโมสรฟุตบอลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเป็นอันดับ 2 ในด้านของรายได้ ที่มีรายได้ประจำปี 398 ล้านยูโร[3] สโมสรยังเป็นคู่ปรับอันยาวนานกับเรอัลมาดริดและนัดการแข่งขันระหว่างสองทีมนี้เรียกว่า “เอลกลาซีโก”
ผู้ผนึกมาร (ญี่ปุ่น: 結界師 Kekkaishi ?) เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น วาดโดย เยลโล ทานาเบะ (ญี่ปุ่น: 田辺イエロウ Tanabe Ierō ?) ตีพิมพ์ในประเทศญี่ปุ่นในนิตยสารโชเน็งซันเดย์โดยสำนักพิมพ์โชงะกุกัง ตั้งแต่ พ.ศ. 2547 จนถึงปัจจุบัน และมีการนำมาสร้างเป็นอะนิเมะโดยบริษัทซันไรส์
คาราสุโมริ เป็นที่ดินที่มีพลังพิเศษที่สามารถช่วยให้ปีศาจแข่งแกร่งขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องมีผู้ผนึกมารที่คอยปราบปีศาจและวิญญาณไม่ให้เข้ามาภายในคาราสุโมริ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเหล่าผู้ผนึกมารที่ต้องปกป้องที่ดินแห่งนี้ไม่ให้ตกไปอยู่กับเหล่าปีศาจ
เรื่องย่อ
หนุ่มน้อย โยชิโมริ ผู้สืบทอดตระกูล สุมิมูระ (ผู้ผนึกมาร) และสาวน้อย โทกิเนะ ผู้สืบทอดตระกูล ยูกิมูระ (ผู้ผนึกมาร) ต้องปกป้องคาราสุโมริไม่ให้ปีศาจเข้าไปได้ (คาราสุโมริอยู่ในตำแหน่งของโรงเรียนคาราสุโมริ) ซึ่งคาราสุโมรินั้น เมื่อปีศาจเข้าไปแผงตัวอยู่จะได้รับพลังมหาศาล พวกปีศาจนั้นไม่ชอบแสงแดดซักเท่าไหร่จึงชอบออกมาตอนกลางคืนเสมอ ถ้าไม่กำจัดมันไปภายในวันเดียวปีศาจจะเปลี่ยนร่างไปในทันใด วิชาที่พวกโยชิโมริใช้คือ 1. ล้อม หมายถึง เตรียม 2. วาง หมายถึง การวางตำแหน่ง 3. ผนึก หมายถึง การจับศัตรู 4. ปลด หมายถึง ปล่อยให้ออกไป 5. สลาย หมายถึง กำจัดให้หมดไป ดังนั้น โยชิโมริกับโทกิเนะจะปกป้องได้จนวินาทีสุดท้ายหรือไม่
มีตอนหนึ่งที่เจ้าหญิงแห่งกลุ่มโคคุโบโร่มาที่คาราสุโมริและก่อนหน้านั้นได้ส่งคนมาชักชวนชิชิโอะจนลังเลเอามาก พอไปๆมาๆชิชิโอะก็เปลี่ยนร่างกายเป็นปิศาจช่วยโยชิโมริและโทกิเนะ(ฮะคุบิกับมาดาราโอะหายไปไหนไม่รู้)และก็ถูกลอบทำร้ายจนตาย
เทพมรณะ หรือ บลีช (ญี่ปุ่น: ブリーチ ; อังกฤษ: Bleach) เป็นผลงานการ์ตูนญี่ปุ่นของคุโบะ ไทเทะ ซึ่งในขณะนี้ถูกตีพิมพ์ลงนิตยสารโชเน็นจัมป์รายสัปดาห์ในประเทศญี่ปุ่น ส่วนในประเทศไทยนั้น บลีชกำลังถูกตีพิมพ์ในนิตยสารบูม โดยมีสำนักพิมพ์เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ นอกจากนี้ ในปัจจุบันบลีชกำลังถูกสร้างเป็นภาพยนตร์การ์ตูนออกอากาศทางสถานีทีวีโตเกียวทุกวันอังคารเวลา 19.28 – 19.55 น. ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น และในเมืองไทยเคยฉายที่ช่อง TrueSpark วันเสาร์อาทิตย์ แต่ปัจจุบันฉายจบปี 1 แล้ว
ชื่อไทย เทพมรณะ
ชื่อญี่ปุ่น ブリーチ
ชื่ออังกฤษ Bleach
แนว โชเน็น, ต่อสู้
หนังสือการ์ตูน
ผู้แต่ง คุโบะ ไทเทะ
สำนักพิมพ์ ชูเอฉะ (ญี่ปุ่น)
เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์ (ไทย)
นิตยสาร โชเน็นจัมป์รายสัปดาห์ (ญี่ปุ่น), บูม (ไทย)
ตีพิมพ์เมื่อ 5 มกราคม 2545 – ยังไม่จบ
จำนวนเล่ม ??? (ญี่ปุ่น,ยังไม่จบ), 33 จะ 34 (ไทย)
ภาพยนตร์การ์ตูนโทรทัศน์
ผู้กำกับ อาเบะ โนริยุกิ
ออกแบบตัวละคร คุโด มาซาชิ
ผลิตโดย สตูดิโอปิเอโร่
ฉายทาง ทีวีโตเกียว
ฉายครั้งแรก 5 ตุลาคม 2547 – ปัจจุบัน
จำนวนตอน 140 (ยังไม่จบ)
เนื้อเรื่อง
เทพมรณะเป็นเรื่องของ คุโรซากิ อิจิโกะ (黒崎一護) นักเรียนมัธยมปลายอายุ 15 ปีผู้มีความสามารถมองเห็นวิญญาณ อิจิโกะได้พบกับชินิกามิ (ยมทูต) หญิงชื่อคุจิกิ ลูเคีย (朽木ルキア) ในขณะที่เธอกำลังตามล่าฮอลโลว์ (Hollow – วิญญาณปีศาจที่กินวิญญาณของมนุษย์เป็นอาหาร) ตนหนึ่ง ลูเคียเสียท่าให้กับฮอลโลว์ตนนั้นจึงจำเป็นต้องถ่ายทอดพลังของชินิกามิให้กับอิจิโกะ นับจากนั้น อิจิโกะจึงต้องทำหน้าที่ชินิกามิแทนลูเคียจนกว่าพลังของเธอจะกลับมา
หลังจากนั้น ทางโซลโซไซตี้เกิดระแคะระคายเรื่องของคุจิกิ ลูเคีย ว่าดูผิดสังเกตอย่างมาก จึงส่งยมทูตไปตรวจสอบและพบว่าลูเคียนั้นได้มอบพลังยมทูตของตนให้แก่อิจิโกะไปแล้ว ซึ่งทางโซลโซไซตี้นั้นถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง จึงส่งอาบาราอิ เร็นจิ(รองหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ที่หก)และคุจิกิ เบียคุยะ(พี่ชายของลูเคีย/หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ที่หก)คุมตัวลูเคียกลับไปโซลโซไซตี้ อิจิโกะจึงพาพรรคพวก(ได้แก่ อิชิดะ อุริว,ซาโดะ ยาสึโทระ,อิโนะอุเอะ โอริฮิเมะ ชิบะ กันจูและ ชิโฮอิน โยรุอิจิ) ไปช่วยคุจิกิ ลูเคีย
เมื่อไปถึงเซเรย์เทย์ ทุกคนก็ได้แยกย้ายกันไปตามจุดโดยอิจิโกะต้องสู้กับนักสู้ลำดับ 3 มาดามาเระ อิกคาคุ ส่วนกันจูต้องสู้กับ นักสู้ลำดับ 5 ยูมิจิกะ ซึ่งทั้ง 2 คนก็ชนะผ่านมาได้อย่างง่ายดาย ในระหว่างทางทั้ง 2 ก็ได้ไปพบ ฮานาทาโร่ นักสู้ลำดับ 7 ของหน่วย 4 ซึ่งต้องการจะช่วยลูเคียออกมา แต่ในระหว่างทางที่ไปหอสำนึกผิด ซึ่งเป็นที่ๆลูเคียถูกขัง พวกอิจิโกะได้ไปเผชิญหน้ากับ อาบาราอิ เร็นจิ รองหัวหน้าหน่วย 6 จึงได้สู้กัน ผลคือ อิจิโกะ ชนะ แบบ สะบักสะบอม ฮานาทาโร่จึงช่วยรักษาให้
ในด้านของแช้ด เขาได้เข้าไปในหน่วย 8 และได้จัดการนักสู้ลำดับ 3 ในเวลาต่อมา เขาต้องพบกับ เคียวราคุ ซุนซุย หัวหน้าหน่อย 8 ซึ่งเขาไม่สามารถที่จะสู้ได้จึงต้องพ่ายแพ้ไปและ ต้องถูกนำตัวไปขัง
ในด้านของอุริว เขาได้เผชิญหน้ากับ คุโรซึจิ มายูริ หัวหน้าหน่วย 12 และ คุโรซึจิ เนม รองหัวหน้าหน่วย 12 ซึ่งเขาจำต้องใช้พลังขั้นสุดยอดแลกกับพลังของการเป็นควีนซี่ ทำให้เขาสามารถชนะได้ แต่เมื่อไปถึงหอสำนึกผิด โทเซ้น คานาเมะ หวหน้าหน่วย 9 ก็ได้มาดักรออยู่แล้ว เนื่องจากร่างกายที่สะบักสะบอมและพลังของเขาที่เพิ่งใช้หมดไป จึงต้องพ่ายแพ้อย่างน่าเสียดาย ทำให้อุริวต้องถูกขังคุกเหมือนกับแช้ด
กลับมาที่ด้านของอิจิโกะ กันจู และฮานาทาโร่ เขาต้องเผชิญหน้ากับ หัวหน้าหน่วย 11 ซาราคิ เคมปาจิ ซึ่งเขาได้บอกให้ฮานาทาโร่ และ กันจูหนีไป ส่วนตัวเขานั้นจะสู้เอง อิจิโกะทำการต่อสู้กับเคมปาจิ ซึ่งพลังของเขาไม่สามารถสู้ได้เลย จึงได้ร่วมมือกับซันเงสึ ทำให้สามารถชนะได้แต่ร่างกายที่สู้ต่อไม่ไหวเขาจึงต้องนอนอยู่ตรงนั้นต่อไป แต่ โยรุอิจิมาช่วยรักษาให้จนอิจิโกะหายดี เมื่อหายดีแล้ว อิจิโกะก็ได้รีบเร่งไปช่วยลูเคีย โดยที่โยรุอิจิยังไม่ได้บอกให้ไป
ในด้านของกันจูที่ เขาได้ไปพบลูเคียแล้ว แต่ก็ได้เผชิญหน้ากับ คุจิกิ เบียคุยะ หัวหน้าหน่วย 6 ซึ่งเบียคุยะใช้ เซ็มบ้งซากุระ ดาบฟันวิญญาณของเขาจัดการกันจูอย่างง่ายดาย แล้วอิจิโกะก็มาช่วย หลังจากสู้ไปได้ไม่นานโยรุอิจิก็ได้บังคับพาตัวอิจิโกะกลับไป ส่วนฮานาทาโร่และกันจูก็ถูกจับขังคุก
ในระหว่างนั้นอิจิโกะได้ฝึกฝนตัวเองกับซันเงสึ เพื่อฝึกฝนการใช้ปลดปล่อยสวัสดิกะ ซึ่งเขามีเวลาแค่ 3 วันเท่านั้น ซึ่งไม่นานเขาก็สำเร็จ และในเวลานั้นเอง เรนจิก็ได้คิดทรยศไปช่วยลูเคีย ซึ่งเขาต้องเผชิญกับ เบียคุยะ หัวหน้าหน่วยของเขา แต่เนื่องจากเบียคุยะใช้ปลดปล่อยสวัสดิกะ ทำให้เร็นจิต้องพ่ายแพ้ไป แต่แล้วฮานาทาโร่กับริคิจิก็ได้มาช่วยรักษาแผลให้เขา ทำให้เร็นจิสามารถกลับไปต่อสู้ได้
ในด้านของซาราคิ เขาได้พาโอริฮิเมะไปช่วยกันจู แช้ด และอุริวแล้วจึงพาทุกคนไปหยุดการประหารลูเคียแต่ก็ต้องเผชิญหน้ากับโทเซ็น และโคมามูระซึ่งซาราคิก็เอาชนะโทเซ็นได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อซาราคิจะฆ่าโทเซ็น โคมามูระก็ได้มาขวางไว้และได้ใช้ปลดปล่อยสวัสดิกะ แต่พอสู้ได้ไม่นาน โคมามูระก็หนีไปดื้อๆ
ในด้านของลูเคีย การประหารได้เริ่มขึ้นแล้วแต่แล้วอิจิโกะก็ปรากฏออกมาพร้อมกับทำลายแท่นประหาร ส่วนเร็นจิที่ตามมาก็ได้พาลูเคียหนีไป จากนั้นหัวหน้าหน่วย 13 อุคิทาเกะ จูชิโร่และ ซุนซุยก็ได้ปรากฏมาและได้ทำลายเครื่องประหารชื่อว่าโซเคียคุทิ้งจึงเกิดการต่อสู้กัน โดยที่อิจิโกะสู้กับเบียคุยะ อุคิทาเกะและซุนซุยสู้กับ ยามาโมโตะ โยรุอิจิสู้กับซุยฟง
ในด้านของอุคิทาเกะ ซุนซุย และยามาโมโตะ ทั้งสามหลังจากสู้กันได้ไม่นานก็ได้โดยปลดปล่อยดาบของตนออกมา ส่วนด้านโยรุอิจิกับซุยฟง หลังจากที่สู้กันไม่นาน ซุยฟงได้ปลดปล่อยดาบและใช้วิชาสุดยอดของหน่วยสังหาร ซึ่งทำให้โยรุอิจิถึงกับต้องแสดงพลังสุดยอดออกมา จึงทำให้ซุยฟงต้องพ่ายแพ้ไป ส่วนด้านอิจิโกะกับเบียคุยะ ทั้งสองสู้กันอย่างสูสีจนทำให้เบียคุยะต้องปลดปล่อยสวัสดิกะ เซ็มบ้งซากุระ คาเงโยชิ ซึ่งทำความเสียหายอย่างมากจนอิจิโกะต้องใช้ปลดปล่อยสวัสดิกะ เท็นสะ ซันเงสึหลังจากที่ฝึกมา 3 วัน ซึ่งจากการที่ปลดปล่อยสวัสดิกะนั้นได้สร้างความเสียหายจนทำให้ เบียคุยะต้องใช้ เซ็มบ้งซากุระ คาเงโยชิ ซูเคย์ ที่แปรสภาพจากซากุระมาเป็นดาบ หลังจากสู้ต่อไป ก็ได้เบียคุยะเกือบชนะอิจิโกะ แต่ร่างฮอลโลว์ของ อิจิโกะก็ได้เข้าแทรกและได้เล่นงานเบียคุยะซะน่วม แต่สุดท้ายอิจิโกะก็ได้กลับมาร่างเดิมและทั้ง 2 ฝ่ายได้งัดพลังสุดยอดออกมาใช้ และได้ปะทะกัน ผลที่ออกมาคือ อิจิโกะชนะ แล้วโอริฮิเมะกับคนอื่นก็มารับ
ในระหว่างนั้นงินได้ชวนฮินาโมริเข้ามาในหอแห่งหนึ่งพอฮินาโมริหันหลังไปก็ได้พบกับ หัวหน้าหน่วย 5 ไอเซ็น โซสึเกะ ซึ่งไอเซ็นได้ฆ่าฮินาโมริหลังจากที่เดินมาปลอบ ในเวลานั้นเอง โทชิโร่ ก็ได้มาเจอพอดีจึงโกรธมาก เลยใช้ปลดปล่อยสวัสดิกะ แต่ก็ยังสู้ไม่ได้ ซึ่งเป้าหมายของไอเซ็นคือโฮเงียคุซึ่งอยู่ในตัวลูเคีย โดยที่เขามี งินและโทเซ็น เป็นลูกน้อง จึงได้ตามไปหาเร็นจิ และได้ใช้กำลังเอาตัวลูเคียมา แต่อิจิโกะก็มาขวางแต่เขากลับสู้ไอเซ็นไม่ได้เลย ถึงแม้จะร่วมมือกับเร็นจิก็ตาม
หลังจากที่ไอเซ็นได้โฮเงียคุมาแล้วก็ได้ให้งินฆ่าลูเคีย แต่เบียคุยะกลับมาขวางทำให้ลูเคียรอดตาย และหัวหน้าหน่วยทั้งหมดก็ได้ยกเลิกการต่อสู้กันและได้มาหาไอเซ็น งิน และ โทเซ็น แต่ก็ได้มีแสงจากเมนอสมารับทั้ง 3 คน ทำให้หัวหน้าหน่วยที่เหลือทำอะไรไม่ได้เลย
หลังการกบฎของไอเซ็น อิจิโกะก็ได้กลับโลกมนุษย์พร้อมกับคนที่เหลือ โดยลูเคียบอกว่าจะอยู่โซลโซไซตี้ และในชั้นเรียน อิจิโกะได้พบกับ ฮิราโกะ ชินจิซึ่งเป็นไวเซิร์ด ชินจิได้ชักชวนให้อิจิโกะมาเป็นพวกเดียวกันแต่อิจิโกะกลับปฏิเสธ และในระหว่างนั้นเอง เมนอส 2 ตัว ก็ได้ปรากฏตัวมาซึ่งตัวแรก ริวเคน พ่อของอุริว เป็นคนจัดการ ส่วนแกรนด์ฟิชเชอร์ อิชชิน พ่อของอิจิโกะเป็นคนจัดการ
ในวันรุ่งขึ้นอิจิโกะก็ได้เจอฮิราโกะที่ยังตื๊อไม่หยุดแม้ว่าจะไล่ยังไงชินจิก็ยังจะตื๊อต่อไปจนกว่าอิจิโกะจะมาเป็นพวกไวเซิร์ด หลังจากนั้นไม่นานอารันคาร์ (ฮอลโลว์ที่ถอดหน้ากากออก) 2 ตนก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่โลกมนุษย์พร้อมกับดูดกลืนวิญญานมนุษย์ไปเป็นจำนวนมาก แช้ดกับอิโนะอุเอะจึงต้องไปหยุดยั้ง แต่แช้ดก็ถูกยามี่ หนึ่งในอารรันคาร์ที่มาบุกทำลายแขนขาด ส่วนอิโนะอุเอะที่กำลังจะถูกจัดการก็ได้มีอิจิโกะมาช่วย อิจิโกะได้ปลดปล่อย สวัสดิกะ และได้ทำการซ้อมยามี่ซะน่วม จนยามี่ต้องใช้ดาบฟันวิญญาน แต่ในระหว่างนั้นอิจิโกะก็ถูกเข้าแทรกโดยอิจิโกะสีขาว ทำให้เขาถูกยามี่ซ้อมซะเอง แต่ก่อนที่เขาจะโดนจัดการ โยรุอิจิกับคิสึเกะก็มาช่วย
โดยทั้ง 2คนได้ซ้อมยามี่ซะน่วมทำให้ยามี่โกรธจนต้องใช้ซีโร่ แต่ก็ถูกทำลายโดยเบนิฮิเมะของคิสึเกะ ขณะที่คิสึเกะกำลังจะปลิดชีพยามี่นั้น อุลคิโอร่า อาร์รันคาร์อีกคนก็ได้มาปัดคลื่นพลังที่คิสึเกะปล่อยออกมาเพื่อจัดการยามี่ทิ้งพร้อมกับซัดยามี่ไป 1 ทีแล้วจึงกลับไป ส่วนโอริฮิเมะกับ อิจิโกะก็ถูกพาตัวไปรักษา
ในเวลาต่อมา ยูมิจิกะ อิกคาคุ โทชิโร่ รันงิคุ และลูเคียก็ได้มาโลกมนุษย์ พร้อมกับอธิบายเรื่องเมนอส กับ อาร์รันคาร์ให้อิจิโกะฟัง ซึ่งอาร์รันคาร์มี3ชนิด คือ 1.กิลเลี่ยน มีจำนวนมาก ระดับพอๆกับทหารเลว ตัวใหญ่สุดๆ 2.แอดจูคาส มีจำนวนน้อยกว่ากิลเลียน ฝีมือเก่งกว่ากิลเลียน ตัวเล็กกว่ากิลเลียน ระดับน่าจะพอๆกับ ขุนพล และ 3.วาสโทรเด้ มีขนาดน้อยสุดๆ ฝีมือสุดยอด ตัวเท่ามนุษย์ ระดับน่าจะพๆกับแม่ทัพ ซึ่งหลังจากที่อุลคิโอร่ากับ ยามี่ กลับไปรายงานไอเซ็น ก็ได้พบว่ามีอาร์รันคาร์มากถึง 20ตน ซึ่งอุลคิโอร่าได้แสดงให้ไอเซ็นดูเกี่ยวกับการต่อสู้ทั้งหมด
ในขณะนั้นกริมจอว์ เอสปาด้าลำดับ 6 ก็ได้บุกไปโลกมนุษย์ พร้อมกับ นาคีม อิลฟอร์ท เอโดราโด้ เชาหลง และดีรอย แต่ทุกคนก็ถูกกำจัดหมดยกเว้น กริมจอว์ โดยอิลฟอร์ทถูกเร็นจิจัดการ นาคีมถูกรันงิคุจัดการ เอโดราโด้ถูกอิคาคุจัดการ ดีรอยถูกลูเคียจัดการ และเชาหลงถูกโทชิโร่จัดการ ส่วน กริมจอว์ได้สู้กับอิจิโกะแต่ใระหว่างทางโทเซ็นมารับ กริมจอว์จึงต้องกลับไปก่อน ทำให้อิจิโกะรอดเพราะกริมจอว์เกือบจะปลดปล่อยดาบแล้ว
หลังจบศึกสู้กับอาร์รันคาร์ชุดที่ 2 อิจิโกะได้ไปหาพวกไวเซิร์ดเพื่อที่จะหาวิธีกำราบฮอลโลว์ในตัวเขา ทำให้เขาต้องต่อสู้กับอีกด้านหนึ่งของเขา ซึ่งอิจิโกะสู้ไม่ได้เลยเพราะถูกทำลายดาบ แต่เขากลับเล่นขี้โกงโดยใช้วิธีการยึดดาบของอีกฝ่ายมาเป็นของตน ทำให้สามารถเอาชนะได้ ต่อมา อิจิโกะ ได้ฝึกการแปลงสภาพเป็นฮอลโลว์ แต่ก็แปลงเป็นฮอลโลว์ได้นานแค่ 4 วินาที ต่อมาไอเซ็นได้สร้างโฮเงียคุได้สำเร็จและเอาไปร่วมร่างกับคนที่มีพลังมากกว่าหัวหน้า13หน่วยพิทักษ์ ชื่อว่าวอนเดอร์ไวซ์ มัลเจร่า Continue Reading
นินจานารูโตะ หรือ นารูโตะ นินจาจอมคาถา หรือ นารุโตะ (ญี่ปุ่น: ナルト Naruto ?) เป็น การ์ตูนญี่ปุ่น เนื้อหาเกี่ยวกับนินจา เรื่องและภาพโดย มาซาชิ คิชิโมโตะ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2542 ในนิตยสาร “โชเนนจัมป์” ในประเทศญี่ปุ่น โดยมีโครงเรื่องเดิมมาจากผลงานที่คิชิโมโตะเคยเสนอให้สำนักพิมพ์ในปี 2540 ต่อมาได้ถูกสร้างเป็น อะนิเมะ และ เกม หลายต่อหลายภาค
ส่วนในประเทศไทย นินจาคาถาโอ้โฮเฮะได้ถูกตีพิมพ์ในหนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์ “บูม” ภายใต้ลิขสิทธิ์ของบริษัท “เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์” ปัจจุบันออกมาแล้ว 53 เล่ม ส่วนภาคอะนิเมะในชื่อไทย “นารูโตะ นินจาจอมคาถา” เป็นลิขสิทธิ์ของ “โรส วิดีโอ” และเคยออกฉายทาง สถานีโทรทัศน์ไอทีวี (ไทยพีบีเอส ในปัจจุบัน) และมีภาคมูฟวี่ 3 ภาค โดยปัจจุบันมีการฉายฉบับเสียงพากย์ภาษาไทยทาง ช่อง 5 และมีการฉายฉบับเสียงพากย์ภาษาไทย – อังกฤษผ่านทางช่องการ์ตูนเน็ตเวิร์ก(ทรูวิชั่นส์ ช่อง 32) โดยจะเรียกชื่อเรื่องว่า นารูโตะ และใช้ทีมพากย์ภาษาไทยของทาง การ์ตูนเน็ตเวิร์ก เอง และช่องรายการดาวเทียม “Gang Cartoon Channel” ทีมพากษ์โรส วิดีโอ
นารูโตะคือหนึ่งในการ์ตูนที่โด่งดังที่สุดของประเทศญี่ปุ่น และได้รับความนิยมประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในอเมริกาและยุโรป มีเนื้อหาเกี่ยวกับนินจา ศาสตร์เวทมนตร์ โดยมีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นโบราณผสมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว ปรัชญาและคำสอนที่กินใจ ปมฝั่งใจในวัยเด็กที่แตกต่างกันของแต่ละคนเชื่อมโยงสู่อตีตอย่างคาดไม่ถึง การเรียนรู้ถึงความเจ็บปวดของสงครามที่ทำให้เกิดความผิดพลาดในจิตใจของมุษย์
ลิงคินพาร์ก (อังกฤษ: Linkin Park) เป็นศิลปินจากอะกูราฮิลส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ศิลปินแนว “นูเมทัล” (Nu-Metal) ด้วยบทเพลงน่าสนใจ ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายของดนตรี เมทัล ฮิปฮอป อืเล็กทรอนิค อินดัสเตรียล และยังคงมีกลิ่นไอของ ฮิปฮอป ความเป็น ป็อป อยู่ด้วย ประสบความสำเร็จกับอัลบั้มเปิดตัว Hybrid Theory ด้วยยอดขาย 24 ล้านแผ่น และอัลบั้มที่ 2 Meteora ก็ขึ้นอันดับ 1 ในบิลบอร์ด เพลงฮิตที่เป็นที่รู้จัก เช่น In The End, Somewhere I Belong เป็นต้น ยังคว้ารางวัลแกรมมีมาแล้ว 2 ครั้งเมื่อปี 2002 และ 2006 และทำยอดขายมาแล้วถึง 40 ล้านชุดทั่วโลก รวมทั้งยังก่อตั้งองค์กร Music For Relief ร่วมกับสภากาชาติสากลเมื่อต้นปี 2005 เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์สึนามิเมื่อปลายปี 2004 และต่อต้านภาวะโลกร้อน
สำหรับ “ปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า เอส” ตอนนี้ต้องถือว่าเป็นตัวท็อปสุดของ 911 โมเดลเชนจ์ รหัสตัวถัง 991 ซึ่งเอเอเอส เริ่มส่งมอบรถให้ลูกค้าไปบ้างแล้ว ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา | |||
|
|||
ตัวรถถ้าดูจากรูปหรือมองผ่านๆ อาจจะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงจากโฉมเดิมเท่าใดนัก แต่จริงๆแล้ว 991 ปรับทั้ง ฮาร์ดแวร์และซอร์ฟแวร์ ใหม่ ให้ต่างจาก 997 ไปเยอะพอสมควร โดยพัฒนาเรื่องสมรรถนะการขับขี่และการประหยัดพลังงานพร้อมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป ซึ่งปอร์เช่แจ้งว่า ชิ้นส่วนของรถกว่า 90% ได้รับการออกแบบและพัฒนาใหม่ทั้งหมด ด้วยรูปลักษณ์สปอร์ตคูเป้ที่ดูใหญ่สง่างาม สัดส่วนต่างๆยังดูลู่ลมลงตัว พร้อมแต้มแต่งความโดดเด่นด้วยไฟหน้าไบซีนอน ใช้หลอด LED กับโคมไฟหลัง กระจกมีความโค้งนูนมากขึ้น และล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วเต็มตาเต็มซุ้ม ขณะที่ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานCd ต่ำเพียง0.29 มิติด้านหน้ากว้างขึ้น52 มิลลิเมตร(ในรุ่น911 คาร์เรร่า เอส) ยาวกว่าเดิม56 มิลลิเมตร ขณะที่ระยะฐานล้อขยายเพิ่ม100 มิลลิเมตร แต่โอเวอร์แฮงค์หน้าสั้นลง 32 มิลลิเมตร และหลังสั้นลง 12 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม ภายในดูทันสมัยให้อารมณ์หรูหราแบบผิดหูผิดตา ตำแหน่งของคันเกียร์ปรับเปลี่ยนให้อยู่สูงและใกล้กับพวงมาลัยมากขึ้น ปุ่มควบคุมต่างๆจัดวางให้ใช้งานง่าย โดยฝังรวมก้อนอยู่บริเวณคอนโซลกลาง พร้อมจอแสดงผลทัชสกรีนขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 7 นิ้ว |
|||
|
|||
การเข้าออกภายในห้องโดยสารก็ยังต้องมุด แม้ประตูจะบานกว้างแต่รู้สึกว่าหลังคารถ-ตัวรถจะเตี้ยลงกว่าเดิมเล็กน้อย ซึ่งตำแหน่งผู้ขับอาจจะไม่ลำบากเท่า ผู้โดยสารกับที่นั่งด๊อกซีทด้านหลัง (แต่ใครจะสนใจ? เพราะนี่มัน 911 เชียวนะ) หลังจากผู้เขียนเข้าไปนั่งตำแหน่งคนขับ ปรับเบาะ(ไฟฟ้า)ให้ถนัดถนี่ ยังไม่มีเวลาเก็บรายละเอียดฟังก์ชันการใช้งานอะไรมากมายครับ เครื่องยนต์ที่สตาร์ทรอไว้อยู่แล้ว (เพราะมีคนขับก่อนหน้า) ก็ใส่เกียร์เยียบคันเร่ง ควบสปอร์ตคาร์รุ่นใหญ่ออกไปทันที ปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า เอส ยังใช้เครื่องยนต์ขนาดเดิมคือ 6 สูบนอน 3.8 ลิตร แต่ปรับแรงม้า-แรงบิดเพิ่มขึ้น โดยให้กำลังสูงสุด 400 แรงม้าที่ 7,400 รอบต่อนาที (เดิม 385 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที) แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตรที่ 5,600 รอบต่อนาที (เดิม 420 นิวตันเมตรที่ 4,400รอบต่อนาที) ขณะเดียวกันด้วยโครงสร้างตัวถังใหม่ ที่หันมาใช้วัสดุน้ำหนักเบา น้ำหนักตัวจึงลดลงกว่าเดิมถึง 45 กิโลกรัม ย่อมส่งผลให้ แรงม้าต่อน้ำหนัก (power to weight ratio) ดีขึ้นแน่นอน ดังนั้นเมื่อดูจากตัวเลขต่างๆ จึงมั่นใจว่าสมรรถนะคงจัดจ้านกว่าเดิม เหนืออื่นใดรุ่นที่ผู้เขียนได้ลองยังจะกำลังด้วยเกียร์ PDK (เป็นออปชันที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม) ที่ขึ้นเชื่อเรื่องถ่ายทอดกำลังฉับไว ไม่สูญเสียกำลัง ยังจะเพิ่มความเร้าใจยิ่งขึ้นไปอีก ปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า เอส เกียร์ PDK สามารถทำอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่ง ไปจนถึงความเร็ว 100 กม./ชม. ได้ในเวลา 4.3 วินาที และมาพร้อมๆกับเสียงเครื่องยนต์บ็อกเซอร์วางหลังคำรามดังหวานหู ซึ่งประเด็นของเสียงเครื่องยนต์นี้ก็น่าสนใจ เพราะวิศวกรปอร์เช่ได้พัฒนาระบบ Sound Symposer ที่จะช่วยสร้างเสียงเร่งของเครื่องยนต์ให้เปล่งปลั่ง ฟังสุนทรีย์เข้ามาภายในห้องโดยสาร โดยช่องทางของเสียงนี้มาจากการสั่นสะเทือนของท่อระหว่างวาล์วปีกผีเสื้อ (throttle valve) และตัวกรองอากาศ (air filter) ซึ่งจะถูกรวมเข้าไว้กับเยื่อบุผิวที่ทำการส่งสัญญาณเข้าสู่ภายในห้องโดยสาร ในส่วนของที่เก็บของกระจกด้านหลัง …ให้อารมณ์พลุ่งพล่านไปอีกแบบครับกับระบบแต่งเสียงแบบนี้ ซึ่งรถสปอร์ตหลายๆรุ่นก็ทำกัน แต่ถ้าอยากอยู่(ขับ)เงียบๆ เพียงแค่กดโหมดสปอร์ตออกไปเท่านั้น |
|||
|
|||
กลับมาที่เรื่องของการขับขี่ โดยในโหมดปกติจังหวะเปลี่ยนเกียร์(ทำงานอัตโนมัติ)รวดเร็ว และมีอาการดึงให้รู้สึกถึงความสปอร์ตนิดๆ แต่กระนั้นถ้าเลือกโหมดสปอร์ต พลัส แล้วเหยีบคันเร่งลึกๆแรงๆ การเปลี่ยนเกียร์จะเป็นบุคลิกแบบโหดสุดๆ ด้วยจังหวะกระฉากแบบหัวทิ่มหัวตำ พร้อมกับการลากรอบยาวๆไปแถว 6,000 รอบนั่นละครับ ในโหมดสปอร์ต พลัส ให้การขับขี่ดุดัน และเกียร์จะไม่ไปที่ตำแหน่งสูงสุดหรือเกียร์ 7 ขณะเดียวกันถ้าเราเลือกโหมดนี้ตั้งแต่แรก สปอยเลอร์หลังของ911 คาร์เรร่า เอส จะยกตัวขึ้นอัตโนมัติทันที ซึ่งต่างจากโหมดปกติที่จะเริ่มยกตัวเมื่อความเร็ว 120 กม./ชม.ขึ้นไป 911 คาร์เรร่า เอส ใหม่หันมาใช้พวงมาลัยแบบผ่อนแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ามาแทนที่แบบไฮดรอลิกเดิม ซึ่งน้ำหนักก็ยังหน่วงมือ แต่จะรู้สึกถึงแรงต้านที่น้อยลง(เมื่อเทียบกับปอร์เช่รุ่นเก่าๆที่ผู้เขียนเคยลองขับ) พร้อมกับการควบคุมที่คล่องแคล่วและแม่นยำมากขึ้น ที่สำคัญรถระดับนี้ทั้งน้ำหนักพวงมาลัยและองศาการเลี้ยวจะปรับตามสภาพการขับขี่ (ความเร็ว,ทิศทาง) เพื่อให้เกิดเสถียรภาพและตอบสนองได้ตรงใจคนขับมากที่สุด อีกโหมดที่ถูกติดตั้งมาเป็นมาตรฐานใน 911 คาร์เรร่า เอส คือระบบช่วงล่างแบบแอคทีฟ(PASM – Porsche Active Suspension System) ซึ่งปอร์เช่ระบุว่า ได้อัพเกรดใหม่ โดยเพิ่มเซนเซอร์อีก4 ตัว บริเวณล้อหน้าและหลัง เพื่อคอยตรวจจับสัญญาณ อาทิ อัตราเร่ง องศาของพวงมาลัย แรงดันเบรก แรงบิดของเครื่องยนต์ และความเร็วในการขับขี่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งไปยังตัวควบคุมไฟฟ้าที่ส่งแรงกดที่ล้อแต่ละล้อภายในเสี้ยววินาที กล่าวคือแรงดันโช็กอัพจะปรับให้แข็ง-อ่อน ตามสภาวะการขับขี่ที่เกิดขึ้นจริงนั่นเอง อย่างไรก็ตามผู้เขียนลองเปิดทั้งโหมดสปอร์ต พลัส และ PASM ไปพร้อมกัน ซึ่งรถเขารู้ครับว่าเราต้องการอะไร แม้ผู้เขียนจะไม่ได้ใช้ความเร็วสูงมาก หรืออยู่ประมาณ100-150 กม./ชม. (หน้าปัดวัดความเร็วขึ้นที่ละ 50 กม./ชม.) แต่รับรู้ได้ถึงความคล่องตัว จังหวะกระชากของเกียร์ การตอบสนองของช่วงล่างที่จงใจแข็ง รวมถึงพวงมาลัยหนึบแน่น ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงมาพร้อมกันหมด Continue Reading |